ในมุมมองของท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมิใช่น้อย
แปลกใจเสียจนต้องมาหาเหตุผลกันอีกครั้งว่าทำไมและทำไม พวกที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญทางด้านลูกหนัง และตัวเลขถึงมองว่า แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2020-21 มากกว่า
2 ฤดูกาลที่ผ่านมาในพรีเมียร์ลีก
พวกเขาสะสมคะแนนรวมกัน 196 แต้ม
ค่าเฉลี่ยเกมละ 2.57 แต้ม
ยิงได้ 174 ประตู
เฉลี่ยยิงได้สูงถึงเกมละ 2.28 ประตู
เสีย 55 ประตู
เฉลี่ยเสียแค่เกมละ 0.72 ประตู
นี่คือมาตรฐานของ ลิเวอร์พูล ตามหลักคณิตศาสตร์ ถือเป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์มากนะครับ-ขอบอก
ผมเข้าใจเรื่องแรงผลักดันของ แมนฯ ซิตี้ ในการ "สไตร์คแบ็ค" กลับมา หลังถูกชิงบัลลังก์ เช่นเดียวกับเข้าใจเรื่องการเสริมทัพที่คงไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้แน่ๆ
คาลิดู คูลิบาลี่ อยู่ในลิสต์ที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะเอามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งในเกมรับ
เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกคนนั้น - ลีโอเนล เมสซี่ ที่หากย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ จริงๆ ก็เป็นอันจบข่าว
แต่นั่นคือเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เพราะเมื่อเทียบกับ ลิเวอร์พูล และนาทีนี้
ณ จุดนี้ "หงส์แดง" ก็ยังดูดีมีมาตรฐานที่สูงกว่าอยู่ดี
ว่าแล้วขออนุญาตตัด แมนฯ ซิตี้ ออกไปก่อน โดยไม่ต้องไปสนใจทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขอให้ดูแค่ ลิเวอร์พูล เพียงทีมเดียวเท่านั้นพอกับคำถามที่ว่า
ทำไมพวกเขาถึงเป็นแค่เต็ง 2
อันดับแรกคือจนป่านนี้ ลิเวอร์พูล ยังไม่ได้เสริมทัพในวงเล็บว่า (อย่างจริงจัง) เลยนะครับ
โอเคย์...เวลายังเหลืออีกมากมายกว่าตลาดลูกหนังจะปิดตัวลงในเดือนตุลาคม
แต่สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่คือคำว่า "ทีท่า"
"ทีท่า" แบบที่ทีมใหญ่ๆ ระดับพญายักษ์ เขาชอบแสดงออกมาในช่วงปิดฤดูกาล คือเดี๋ยวเป็นข่าวกับดาวเตะคนนั้น เดี๋ยวเป็นข่าวกับดาวเตะคนนี้พลางทำ
จมูกบานเข้า-บานออก บานเข้า-บานออก บานเข้า-บานออก แล้วร้องครวญครางเสียงกระเส่าว่า "เอานะ-เอานะ"
ทีท่าที่ ลิเวอร์พูล แสดงออกมาคือเหมือนพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน
ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ตัวผู้เล่นใหม่มาเสริมทัพแค่ 3 หน่อเท่านั้นเองนะครับ แถมทั้ง 3 คนก็ไม่จัดอยู่ในประเภท "ตัวหลัก" ที่ถูกกระชากมาเพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาวซะด้วย
1. เอเดรียน - นายประตูตัวสำรอง
2. ทาคูมิ มินามิโนะ
3. คอสตาส ซิมิกาส - แบ็คซ้ายคนใหม่ล่าสุดที่ถูกซื้อมาเพื่อเป็นอะไหล่ของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน โดยเฉพาะ
ฤดูกาลที่แล้วไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ อันนี้พอเข้าใจได้ว่าของเดิมนั้นมันดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้คัน ในเมื่อไม่คันก็ไม่จำเป็นต้องเกา (หรือเอายามาทาถู)
แถมยังได้ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กลับมาจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งมีค่าเสมอหนึ่งได้นักเตะใหม่อีกคน
กุนซือชาวเยอรมันแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีดาวเตะใหม่มาเสริมก็สามารถเสกให้ลูกทีมคว้าแชมป์ได้แบบไม่ระบมหัวแม่ตีน โดยทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น
ต่อให้ไม่มีนายทวารสำรองคนใหม่ ต่อให้ไม่มีดาวเตะสายพันธุ์ปลาดิบ - ลิเวอร์พูล ก็คว้าแชมป์ได้อยู่ดีนั่นแหละ
เห็นไหมครับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อตัวผู้เล่นใหม่เลย
ทว่านั่นคือเรื่องของฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล ยังเพียบไปด้วยแรงแค้นและแรงอาฆาตในการบดขยี้คู่แข่งให้สิ้นซากแล้วกระชากความสำเร็จที่ตัวเองโหยหามาให้ได้แต่ฤดูกาลนี้มีความแตกต่าง
บางทีความมั่นใจในศักยพลานุภาพของทีมที่ดีอยู่แล้ว โดยยักไหล่ให้ตลาดการซื้อ-ขายตัวผู้เล่นอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์ ซึ่งแน่นอนว่ามันยากมากกว่าการเป็นแชมป์
ถามเด็กหงส์ว่าอยากได้ผู้เล่นใหม่ในตำแหน่งไหนมากที่สุด ???
ประมาณ 70-80% น่าจะตอบว่า "กองหน้าตัวเป้า" ประเภทโป้งปิดบัญชีดีๆ สักคน
ติโม แวร์เนอร์ ย้ายไปอยู่กับ เชลซี เนื่องเพราะค่าตัวรุนแรงเกินไปสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่ไม่มีนโยบายใช้เงินซื้อความสำเร็จ
ฟุตบอลสมัยใหม่อาจไม่จำเป็นต้องมี "หน้าเป้า" ที่ปักหลักรอตะบันตาข่ายในกรอบเขตโทษ อาศัยการเล่นแบบเป็นทีมเวิร์ค สลับสับเปลี่ยน หมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งกันอย่างกลมกลืนของ 3 ประสานในแผนกล่าสังหาร
กองหน้าตัวปลอม (False 9) อย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ไม่จำเป็นต้องยิงแบบเป็นกอบเป็นกำดั่งเช่นหัวหอกตัวเป้าโดยทั่วไป ในเมื่อวิธีการเล่นของเขาช่วยให้กองหน้าอีก 2 คนอย่าง ซาดิโอ มาเน่ กับ โม ซาล่าห์ ทำประตูทดแทนได้แบบไม่ผูกขาดกับหัวหอกตัวเป้า
ย้อนกลับไปในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หลังจากที่ ลิเวอร์พูล โดนนำในครึ่งแรก เมื่อเริ่มครึ่งหลังได้ไม่กี่นาที เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนตัวผู้เล่นพลางปรับหมากเตะใหม่จาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1
ซึ่งมีกองหน้าเป้าแบบเป็นตัวเป็นตนมากขึ้น
โม ซาล่าห์ ถูกขยับเข้าไปเป็น "หน้าเป้า"
โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ถูกปรับเป็น "หน้าต่ำ" ขนาบข้างซ้ายและขวาด้วย ทาคูมิ มินามิโนะ กับ ซาดิโอ มาเน่ เพื่อเพิ่มพลังในเกมรุกให้มีความดุดันมากขึ้นลิเวอร์พูล ตีเสมอได้สำเร็จก็จริง แต่ไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะในเกม
ลองคิดดูนะครับว่าถ้าพวกเขามีกองหน้าตัวเป้าระดับตีนพระกาฬเข้ามาอีก 1 คน พลังทำลายของ ลิเวอร์พูล จะสูงกว่านี้หรือเปล่า ???
อย่าลืมการไม่มีผู้เล่นใหม่เข้ามา มันก็จะไม่เกิดการแข่งขันภายในทีม เพื่อกระตุ้นให้กระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
แล้วคิดง่ายๆ ครับ
ตัวเองไม่ซื้อ ทีมอื่นเขาซื้อ
ตัวเองเหมือนเดิม ทีมอื่นดีขึ้น
อีกจุดหนึ่งที่อาจทำให้บรรดานายบ่อนมอง ลิเวอร์พูล ว่าเป็นแค่เต็ง 2 คือเรื่องของ "แรงจูงใจ"
หลังจากได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเป็นทางการ ลิเวอร์พูล ก็เล่นแบบ "ลอยตัว" ไม่จำเป็นต้องเน้นอะไรมากมาย - ความละเอียดในการเล่น และแรงขับดันลดน้อยลงไปจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพียงแต่ตอนนั้นมันมีคำว่า "ก็ได้แชมป์ไปแล้วนี่หว่า" มาคอยแก้ตัวหรือเป็นข้ออ้างให้
คือมันเป็นธรรมชาติของทีมที่ได้แชมป์ก่อนจบฤดูกาล พลังขับเคลื่อนมันก็จะลดน้อยลงไป
ต่อเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ผมพบความจริงว่า ลิเวอร์พูล เริ่มอ่อนกำลังลงก่อนที่ไวรัสโคโรน่าจะบุกถล่มโลกลูกหนังเสียอีก หรือก่อนที่หงส์แดงจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเป็นทางการนะครับ
มันเริ่มตั้งแต่การออกไปแพ้ แอตเลติโก มาดริด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นั่นแหละ
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้โดยรวมจะเหมือนเครื่องยังแรง แต่ก็มักจะมีการสะดุดให้เห็นเป็นระยะ
ต่อให้เอาชนะคู่แข่งก็ค่อนข้างตะกุกตะกัก
หลังจากพลาดท่าพ่ายแพ้ทีมหมีคอมมานโดที่ ว่านต๋า สเตเดี้ยม พวกเขาก็แพ้นัดแรกในพรีเมียร์ลีกแบบหมดสภาพ ตามด้วยการแพ้ เชลซี ตกรอบ เอฟเอ คัพ
แล้วก็ถูก แอต.มาดริด บุกมาอัดคาบ้าน ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จนสิ้นสภาพแชมป์เก่า
เมื่อเกมฟาดแข้งถูกแช่แข็งเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนแล้วกลับมา "รีสตาร์ท" อีกครั้ง
ลิเวอร์พูล ใช้เวลาอีกเพียง 2 นัด ประกาศแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2020
หลังจากนั้นอีก 8 นัดต่อมา พวกเขาเสียหลักพุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ความปราชัยไปแล้ว 2 นัด เสมอ 2 นัดในเกมที่ถูกมองว่าไม่มีความกดดันอะไร
การศึกครั้งล่าสุดที่ทำได้แค่เสมอ อาร์เซน่อล 1-1
ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือแรงขับเคลื่อนที่ลดความเร็วแรงแบบทะลุนรกลงไป ไม่เหมือน "สิบล้อเบรคแตก"
จริงอยู่...มันอาจไม่ใช่เกมที่มีความหมายอะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแบบเต็ม 80,000 ตีนถีบ กระนั้นมันก็ไม่ต่างจากสัญญาณเตือนว่าเกมรุกของหงส์
เริ่มอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัดมาหลายนัดแล้วนะ
3 ประสานในหน่วยล่าสังหารก็เล่นด้วยกันมา 3 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว
เฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาล่าห์ ที่ชักไม่เหมือนเดิม
จำนวนประตูที่พี่เขามันลดลงทุกซีซั่น ตั้งแต่ฤดูกาล 2017-18 ที่กระหน่ำไป 44 ประตู ในทุกรายการ แบ่งเป็น 32 ประตูในพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2018-19 จำนวนประตูในทุกรายการลดลงเหลือ 27 ประตู แบ่งเป็น 22 ประตูในพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2019-20 จำนวนประตูลดลงไปอีก โดยเหลือ 23 ประตูในทุกรายการ แบ่งเป็น 19 ประตูในพรีเมียร์ลีก
ถือว่ายังยิงเยอะอยู่ก็จริง แต่ตัวเลขกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
เกมรับก็ชักจะเสียประตูง่ายกว่าเดิม
นอกจากนี้คือนับตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เรตติ้งในการเอาชนะคู่แข่งของพลพรรคหงส์แดงเหลืออยู่แค่ 43% เท่านั้นเอง
อืมมมมมมมม...เหล่านี้ล่ะมั้งครับ
เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล เป็นแค่เต็ง 2
จาก siamsport
ufabet เว็บนี้ที่เดี่ยวจบ
sa
gaming เล่นจริงได้เงินจริง
sexy
baccarat สาวๆสวยๆโชว์....
joker
gaming มีเกมส์มากมายให้เลือกเล่น
gold
deluxe ค่ายที่คนส่วนใหญ่เลือกเล่น
แทงบอลออนไลน์ขั้นต่ำ 10 บาท
คาสิโนออนไลน์ ที่ทุกคนไม่ควรพลาด
สล็อตออนไลน์ รอคุณไปเล่นอยู่
โพสต์โดย : Golden เมื่อ 5 ก.ย. 2563 00:52:16 น. อ่าน 289 ตอบ 0